สมาชิกในกลุ่ม

ชื่อ เด็กหญิง ปฏิญญา ศรีมุข
ชื่อเล่น ยีนส์
ลืมตาดูโลก วันอังคาร 24 ตุลาคม 2538
ปัจจุบันอายุ 14 ปี ย่าง 15
เพื่อนร่วมทุกข์ เจน แนน แอม เบียร์ ฮิว และอีกมากมาย
ที่ซุกหัวนอน ที่บ้าน แต่จำบ้านเลขที่ไม่ได้ อยู่ อำเภอ ปากท่อ
เครื่องดื่มกระแทกปาก แล้วแต่อารมณ์
อาหารที่อยู่ในท้อง สารพัดอาหารที่กินไป
กิจกรรมยามว่าง คุยโทรศัพท์ทีหลัง แต่การฟังเพลงมาก่อนเสมอ

โครงงานคอมพิวเตอร์

นามเฉพาะ เด็กหญิง ณิชา เปลี่ยนอร่าม
ลืมตาดูโลกเมื่อ 30 เมษายน 2539
ปัจจุบันอายุ 14ปี
เพื่อนที่ร่วมสุข ยีนส์ แนน ตูน แอม เบียร์ (ฮิว มันเปงตูดดดดด)
เครื่องดื่มกระแทกปาก โกโก้_._ ชานม
อาหารที่ยู่นัยท้องเค้า กินแม้งทุกอย่าง ที่ค้วางตา
งานอดิเรก แรดปั้ยๆๆมาๆๆ ตามอัธยาศัย
สิ่งที่โปรดปราน คือของที่อยากดั้ย
สิ่งที่อยากพบเห็นทุกวัน คือหน้ามัน(ไอเตี๊ย)


นามเฉพาะ น.ส ชุติมา สุขอุดม





วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วันลอยกระทง
1.ประวัฒิวันลอยกระทง

          ประเพณีลอยกระทงนั้น ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่เชื่อว่าประเพณีนี้ได้สืบต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง เรียกประเพณีลอยกระทงนี้ว่า "พิธีจองเปรียญ" หรือ "การลอยพระประทีป" และมีหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวถึงงานเผาเทียนเล่นไฟว่าเป็นงานรื่นเริงที่ใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้เชื่อกันว่างานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน

          ในสมัยก่อนนั้นพิธีลอยกระทงจะเป็นการลอยโคม โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสันนิษฐานว่า พิธีลอยกระทงเป็นพิธีของพราหมณ์ จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า 3 องค์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้นำพระพุทธศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงให้มีการชักโคม เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระบาทของพระพุทธเจ้า
          ก่อนที่นางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วงจะคิดค้นประดิษฐ์กระทงดอกบัวขึ้นเป็นคนแรกแทนการลอยโคม ดังปรากฎในหนังสือนางนพมาศที่ว่า

          "ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่าง ๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้ป็นลวดลาย..."

          เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯ ทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และให้จัดประเพณีลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยให้ใช้กระทงดอกบัวแทนโคมลอย ดังพระราชดำรัสที่ว่า "ตั้งแต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน" พิธีลอยกระทงจึงเปลี่ยนรูปแบบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


          ประเพณีลอยกระทงสืบต่อกันเรื่อยมา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมัยรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 3 พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนขุนนางนิยมประดิษฐ์กระทงใหญ่เพื่อประกวดประชันกัน ซึ่งต้องใช้แรงคนและเงินจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง จึงโปรดให้ยกเลิกการประดิษฐ์กระทงใหญ่แข่งขัน และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ทำเรือลอยประทีปถวายองค์ละลำแทนกระทงใหญ่ และเรียกชื่อว่า "เรือลอยประทีป" ต่อมาในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ปัจจุบันการลอยพระประทีปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย

2.ลอยกระทงอย่างสร้างสรรค์
    1. ใช้ใบตองจากธรรมชาติแทนการใช้โฟม
      2. ใช้ขนมปังลอย
      3. ใช้ไฟเย็นประดับตกแต่งกระทง
      4. ใช้ดอกไม้สดที่มีสีสันสวยงาม
     
3. สิ่งที่ข้าพเจ้าจะทำวันลอยกระทง
    1.ไปลอยกระทงกับครอบครัว
         ไปเที่ยวงานวัดต่างๆ
         ทำกิจกรรมกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน
     2. ไปลอยกระทงกับคนรักและครอบครัว
         ไปเที่ยวกับเพื่อนๆๆ
         ทำกิจกรรมกับคนในครอบครัว
     3. ไปลอยกระทงกับครอบครัว
         ไปดูการละเล่นตามวัดต่างๆ
         ขอพรจากพระแม่คงคา
     4. ทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ
         ไปลอยกระทงกับครอบครัว
         ไปเที่ยววันลอยกระทง
     5. ทำกระทงขาย
         ปล่อยทุกข์กับโคมไฟ
         ไปเที่ยววันลอยกระทงกับเพื่อนๆ
      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น